การทำธุรกิจต้องพิจารณาเรื่องพาหนะอย่างรอบคอบ ไมว่ากิจการจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กก็ตาม พาหนะเป็นสิ่งจำเป็นในสำนักงาน การขนส่งสินค้า และเดินทางเพื่องานที่เกี่ยวข้อง ทำให้บริษัทแต่ละแห่งจำเป็นต้องเลือกที่จะซื้อ ใช้ในนามบริษัท หรือซื้อในนามบุคคล หรือแม้กระทั่งเช่า การตัดสินใจนี้มีผลต่อภาษีและค่าใช้จ่ายของกิจการ ดังนั้นเราสามารถแยกประเด็นเกี่ยวกับการซื้อพาหนะได้ดังนี้
- การซื้อรถในนามบริษัท: เมื่อกิจการต้องการซื้อรถยนต์ใหม่ เราควรพิจารณาการซื้อในนามบริษัทเพื่อนำมาใช้ในกิจการ นี้จะช่วยลดภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อรถ แต่จำเป็นต้องคำนึงถึงประเภทของรถ เช่น รถนั่งไม่เกิน 10 คน หรือรถกระบะ และรถยนต์โดยสาร เพื่อให้สามารถนำมาหักภาษีขายได้ หากเข้าเกณฑ์นี้
- ค่าใช้จ่ายหลังจากการซื้อ: หลังจากการซื้อรถในนามบริษัท เราสามารถนำค่าใช้จ่ายและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อรถมาเป็นรายจ่ายหรือต้นทุนของสินทรัพย์ เพื่อคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีได้ โดยค่าใช้จ่ายนี้ไม่ควรเกิน 1 ล้านบาท
- ค่าเสื่อมราคา: ตามกฎหมายสามารถหักค่าเสื่อมราคาจากมูลค่าต้นทุนเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยหักค่าเสื่อมราคาต่อปีสูงสุดได้ปีละ 200,000 บาท แต่จะต้องแบ่งหักเป็นค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า 5 ปี
- ราคารถเกิน 1 ล้านบาท: หากราคารถเกิน 1 ล้านบาท เป็นส่วนที่เกิน 1 ล้านบาท จะต้องนำมาบวกกลับในการคำนวณภาษีนิติบุคคลประจำปีของกิจการ เนื่องจากไม่สามารถบันทึกค่าใช้จ่ายส่วนเกินได้
ซื้อรถหรูในนามบริษัท
การซื้อรถเก๋งที่มีราคาสูงหรือรถหรูแล้วจดทะเบียนในนามบริษัท ตามกฏหมายทำให้สามารถหักค่าเสื่อมราคาได้ไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยจะต้องแบ่งการหักค่าเสื่อมราคานี้ให้เป็นรายปีและค่าใช้จ่ายต้องไม่น้อยกว่า 5 ปี ถ้ามีความต้องการซื้อรถเก๋งที่ราคาเกิน 1 ล้านบาท จะต้องพิจารณาว่าจะซื้อด้วยเงินสดหรือเงินผ่อนเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
เราสมมุติว่ารถมีราคา 3 ล้านบาท ในกรณีที่เลือกซื้อด้วยเงินสด ค่าใช้จ่ายในการหักค่าเสื่อมราคาจะเป็นปีละ 200,000 บาท และเงินส่วนที่เกิน 1 ล้านบาทจะต้องนำมาบวกกลับในรายได้ ที่จะต้องเสียภาษีนิติบุคคลอีก 20% (กรณีบริษัทมีกำไรเกิน 1 ล้านบาท) ซึ่งอาจคำนวณว่าต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 400,000 บาท ดังนั้นรวมราคารถจะเป็น 3,400,000 บาท
ในกรณีที่ตัดสินใจซื้อรถเก๋งเป็นเงินผ่อน จะมีสองแบบการทำสัญญาที่คุณสามารถเลือกใช้ได้ คือ แบบเช่าซื้อและแบบลิสซิ่ง ทั้งสองแบบนี้มีความแตกต่างในด้านกฏหมายและภาษี
การผ่อนแบบเช่าซื้อ
มีข้อกำหนดทั้งด้านกฏหมายและภาษีดังนี้
- ด้านกฏหมาย: สิทธิ์ในรถจะถูกโอนให้แก่ผู้เช่าซื้อทันทีที่ผ่อนค่างวดสุดท้ายเสร็จสิ้น
- ด้านภาษี: ผู้เช่าจะต้องบันทึกรถเป็นสินทรัพย์ โดยคำนึงถึงราคาที่ต้องชำระทั้งหมดตามสัญญาเช่าซื้อ (ราคารถ + ดอกเบี้ย) และสามารถหักค่าเสื่อมราคาได้ในมูลค่าต้นทุนไม่เกิน 1 ล้านบาทสำหรับรถยนต์นั่ง โดยการหักค่าเสื่อมราคาจะต้องเป็นรายปีและไม่น้อยกว่า 5 ปี
ผ่อนแบบบอลลูน
วิธีนี้เหมาะสำหรับการซื้อรถในนามนิติบุคคลเนื่องจากเกี่ยวข้องกับการหักค่าใช้จ่ายของกิจการ ข้อดีของวิธีนี้ได้แก่:
ไม่ต้องจ่ายเงินดาวน์ค่าเช่าครั้งแรก.
สามารถหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่รถมูลค่าเกิน 1 ล้านบาท การเช่าซื้อแบบบอลลูนจะช่วยให้กิจการสามารถหักค่าใช้จ่ายตามกฎหมาย เนื่องจากมันจะถูกตีค่าเช่ารถมาใช้ก่อนในช่วงระยะเวลาตามสัญญา ซึ่งกิจการจะสามารถลงค่าเช่าเป็นรายจ่ายได้ตามกฎหมาย เมื่อถึงกำหนดตามสัญญา เราจะสามารถเลือกได้ว่าจะซื้อรถขึ้นมาในราคาที่กำหนด หรือไม่ซื้อเลย ถ้ากิจการเลือกซื้อรถ กิจการจะสามารถนำมูลค่ารถมาหักค่าใช้จ่ายต่อได้อีก 5 ปี ผ่านทางการคำนวณค่าเสื่อมราคาไม่เกิน 2 แสนบาทต่อปี
มีการันตีมูลค่ารถในระยะสิ้นสุดสัญญาเช่าซื้อแบบบอลลูน เนื่องจากมูลค่ารถจะมีค่าตามที่ระบุในสัญญา