ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลต่างๆ ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว โดยขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราฯ ซึ่งระบบอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศมี 4 ระบบใหญ่ๆ คือ
- ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ หมายถึง ระบบมาตรฐานทองคํา (Gold Standard) และระบบมตรปริวรรตทองคํา (Gold Exchange Standard) เป็นตัวกําหนดค่าของเงินตราสกุลต่างๆ โดยเทียบเคียงกับทองคําจํานวนหนึ่งที่แน่นอน
- ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบยึดหยุ่น เป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่มีประเทศใดใช้แล้วในปัจจุบัน
- ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ เป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ปล่อยให้อุปสงค์ และอุปทานของเงินสกุลนั้นๆ ทํางานได้ในระดับหนึ่ง โดยธนาคารกลางสามารถเข้าไปแทรกแซง เพื่อจํากัดขนาดและความผันผวนของการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนได้ ระบบนี้จึงเป็นที่นิยมและถูกนํามาใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก
มาตรฐานการบัญชีสำหรับอัตราแลกเปลี่ยน
กิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะ (PAEs) ถูกกําหนดให้ปฏบัติตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 21 ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ประกอบด้วยย่อหน้าที่ 1 ถึง 62 ทุกย่อหน้ามีความสำคัญเท่ากัน และมาตรฐานการบัญชี ฉบับนี้ต้องอ่านโดยคำนึงถึงข้อกำหนดของ กรอบแนวคิดสำหรับการรายงานทางการเงิน ในกรณีท่ไีม่ได้ให้ แนวปฏิบัติในการเลือกและการใช้นโยบายการบัญชีให้กิจการถือปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรฐาน การบัญชีฉบับท่ี่ 8 เรื่อง นโยบายการบัญชีการเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชีและข้อผิดพลาด
กิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ (NPAEs) ถูกกําหนดให้ปฏิบัติตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชี ฉบับที่ 20/2554 บทที่ 21 ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (ย่อหน้าที่ 382-390)
คำศัพท์ที่ใช้ในมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มีความหมายเฉพาะดังต่อไปนี้
อัตราปิด หมายถึง อัตราแลกเปลี่ยนทันที ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน
ผลต่างของอัตราแลกเปลี่ยน หมายถึง ผลต่างที่เกิดขึ้ นจากการแปลงค่าจำนวนหน่วยของเงินสกุลหนึ่งไปเป็นอีกสกุลหนึ่งด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่แตกต่างไป
อัตราแลกเปลี่ยน หมายถึง อัตราที่ใช้แลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสองสกุล
มูลค่ายุติธรรม หมายถึง ราคาที่จะได้รับจากการขายสินทรัพย์หรือจะ
จ่ายเพื่อโอนหนี้ สินในรายการที่เกิดขึ้นในสภาพปกติระหว่างผู้ร่วมตลาด ณ วันที่วัดมูลค่า (ดูมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 13 เรื่อง กำรวัดมูลค่ายุติธรรม)
เงินตราต่างประเทศ หมายถึง เงินตราสกุลอื่น นอกเหนือจากสกุลเงินที่ใช้ในการดำเนินงานของกิจการ
สกุลเงินที่ใช้ในการดำเนินงาน หมายถึง สกุลเงินที่ใช้ในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจหลัก ซึ่งกิจการดำเนินงานอยู่
เงินลงทุนสุทธิในหน่วยงานต่างประเทศ หมายถึง ส่วนได้เสียในสินทรัพย์สุทธิของหน่วยงาน
ต่างประเทศของกิจการที่เสนองบการเงิน
สกุลเงินที่ใช้นำเสนองบการเงิน หมายถึง สกุลเงินที่ใช้ในการเสนองบการเงิน
อัตราแลกเปลี่ยนทันที หมายถึง อัตราแลกเปลี่ยนสำหรับการส่งมอบทันที
ข้อกำหนดของมาตรฐานการบัญชีอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลต่างๆ
ขอบเขตของมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 21 (ปรับปรุง 2552) ให้ใช้กับการบัญชีสําหรับรายการที่เป็นเงินตราต่างประเทศและการแปลงค่างบการเงินของกิจการในต่างประเทศระบุไว้ว่า
(ก) ณ วันเกิดรายการค้า ให้แปลงค่าด้วย “อัตราแลกเปลี่ยนทันที” หรือ อัตราตลาด
(ข) ณ วันที่มีการรับ/จ่ายชําระหนี้ในระหว่างปี ให้แปลงค่าด้วย “อัตราแลกเปลี่ยนทันที”
(ค) ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน
– รายการที่เป็นตัวเงินให้แปลงค่าด้วยอัตราปิด
– รายการที่ไม่เป็นตัวเงิน ซึ่งบันทึกด้วยราคาทุนเดิม ให้แปลงค่าโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันเกิดรายการ
– รายการที่ไม่เป็นตัวเงิน ซึ่งบันทึกด้วยมูลค่ายุติธรรม ให้แปลงค่าโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่กําหนดมูลค่ายุติธรรมนั้น
กําไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (Gains and Losses on Exchange Rate)
ผลต่างระหว่างอัตราแลกเปลี่ยน ณ 2 จุดเวลา คือ ณ วันที่เกิดรายการค่า กับ วันที่มีการรับ/จ่ายชําระหนี้ หรือ ณ วันสิ้นรอบ
ระยะเวลารายงานกําไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจะถูกบันทึกเป็นรายได้หรือรายจ่าย ไว้ในกําไรหรือขาดทุนในงวดบัญชีนั้น
ภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกําไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
การคํานวณรายได้ รายจ่าย ลูกหนี้ เจ้าหนี้ และกําไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนฯ อันเนื่องมาจากรายการค้า ซึ่งมีข้อตกลงเป็นเงินตราต่างประเทศ อาทิ ธุรกิจนําเข้า ส่งออก กิจการขนส่งระหว่างประเทศ ธุรกิจค้าเงินตราต่างประเทศ สาขาหรือบริษัทในเครือของต่างประเทศ บริษัทข้ามชาติ เป็นต้น โดยประมวลรัษฎากรได้บัญญัติหลักเกณฑ์การแปลง “ค่าเงิน” ไว้ในมาตรา 65 ทวิ(5) และ (8) ดังต่อไปนี้
- กําไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนตามมาตรา 65 ทวิ (5) บัญญัติไว้ว่า เงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สิน ซึ่งมีค่าหรือราคาเป็น
เงินตราต่างประเทศที่เหลืออยู่ในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ให้คํานวณค่าหรือราคาเป็นเงินไทย ดังนี้(I) กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล นอกจาก (II)
– ให้คํานวณค่าหรือราคาของเงินตราหรือทรัพย์สิน เป็นเงินตราไทยตามอัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อ
– ให้คํานวณค่าหรือราคาของหนี้สินเป็นเงินตราไทยตามอัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขาย
(II) กรณีธนาคารพาณิชย์ หรือสถาบันการเงิน ให้คํานวณค่าหรือราคาของเงินตรา ทรัพย์สินหรือหนี้สิน เป็นเงินตราไทยตามอัตราถัวเฉลี่ยระหว่างอัตราซื้อและอัตราขาย - กําไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนตามมาตรา 65 ทวิ (8) กล่าวไว้ว่า ถ้าราคาทุนของสินค้าเป็นเงินตราต่างประเทศให้คํานวณเป็นเงินตราไทย ตามอัตราแลกเปลี่ยนในท้องตลาดของวันที่ได้รับสินค้านั้น เว้นแต่เงินตราต่างประเทศนั้นจะแลกได้ในอัตราทางราชการ ก็ให้คํานวณเป็นอัตราของทางราชการ
ตัวอย่างการบันทึกบัญชีกรณีการฝากเงินตราต่างประเทศ ตามแนวปฏิบัติกรมสรรพากร
ผู้ส่งออกได้ขายสินค้าไปต่างประเทศ มูลค่า $400,000 เมื่อครบกําหนดชําระหนี้ได้รับชําระหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศ และนํา
ฝากธนาคารพาณิชย์ในรูปของเงินเหรียญสหรัฐ ต่อมาได้ซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ มูลค่า $40,000 และนําเงินต่างประเทศที่
ฝากไว้จ่ายชําระหนี้ค้าซื้อวัตถุดิบ
วิธีการบันทึกบัญชี
- เมื่อขายสินค้าไปต่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ส่งออก $1 = 32 บาท
Dr. ลูกหนี้ ($400,000 x 32) 12,800,000
Cr. รายได้ 12,800,000 - ณ. วันที่ลูกค้าชำระหนี้ค้าสินค้าจากต่างประเทศ ผู้ส่งออกต้องคํานวณค่าเป็นเงินตราไทย ตามมาตรา 65 ทวิ (5)
กล่าวคือ ต้องบันทึกบัญชีการชําระหนี้เป็นเงินตราไทยตามราคาตลาดในวันที่ได้รับชําระหนี้ค่าสินค้า อัตราแลกเปลี่ยนที่
ธนาคารรับซื้อเงินตราต่างประเทศ ณ วันที่ได้รับชําระหนี้ คือ $1 = 35 บาท
Dr. ธนาคาร ($400,000 x 35) 14,000,000
Cr. ลูกหนี้ 12,800,000
กําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 1,200,000
เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีเงินตราต่างประเทศที่ฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์ หากคงเหลืออยู่ในบัญชีจนถึงวันสิ้นรอบ
ระยะเวลาบัญชี ต้องมีการปรับปรุงอัตราแลกเปลี่ยนให้เป็นไปตามเงื่อนไขมาตรา 65 ทวิ (5) ถ้าวันสิ้นรอบระยะเวลา
บัญชีตรงกับ วันที่ 31 ธันวาคม กรมสรรพากรจะประกาศอัตราแลกเปลี่ยนให้ทราบประมาณเดือนมกราคมของปีถัดไป
หากวันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีเป็นวันอื่น ต้องใช้อัตราแลกเปลี่ยนจากธนาคารแห่งประเทศไทย - ซื้อวัตถุดิบมาจากต่างประเทศ และนําเงินตราต่างประเทศที่ฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์ชําระหนี้ค่าซื้อวัตถุดิบ หากอัตรา
แลกเปลี่ยน ณ วันที่ซื้อวัตถุดิบ คือ $1 = 35 บาท และอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ชําระ คือ $1 = 36 บาท
ในการโอนเงินตราต่างประเทศที่ฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์เพื่อจ่ายชําระหนี้ค่าซื้อวัตถุดิบ การบันทึกบัญชีมีอัตรา
แลกเปลี่ยนต่างกัน คือ
(1) วันที่นําเข้าวัตถุดิบ อัตราแลกเปลี่ยน คือ $1 = 32 บาท
(2) วันที่นําเงินตราต่างประเทศฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์ อัตราแลกเปลี่ยน คือ $1 = 35 บาท
(3) วันที่ชําระหนี้อัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารพาณิชย์ขาย คือ $1 = 36 บาท
กรณีซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นแบบมีเครดิต บันทึกบัญชีดังนี้
Dr. วัตถุดิบ ($40,000 x 32) 1,280,000
Cr. เจ้าหนี้ 1,280,000
ครบกำหนดวันชำระหนี้ ชําระจากบัญชีเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่เปิดบัญชีไว้เป็นเงินเหรียญสหรัฐ ทําให้เกิด
กําไร/ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน บันทึกบัญชีดังนี้
Dr. วัตถุดิบ ($40,000 x 32) 1,280,000
ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (36-32) x $40,000 160,000
Cr. ธนาคาร ($40,000 x 36) 1,440,000
กําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (36-35) x $40,000 40,000
กรณีซื้อเงินสด บันทึกบัญชีดังนี้
Dr. วัตถุดิบ ($40,000 x 36) 1,440,000
Cr. ธนาคาร ($40,000 x 35) 1,400,000
กําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (36-35) x $40,000 40,000
ภาษีภาระกรณี “ค่าเงิน” ผันผวน
“ค่าเงิน” ผันผวน กรมสรรพากรจึงออกคําสั่ง ทป.72/2540 อนุโลมให้บริษัทเหล่านั้นมีสิทธิ เลือกที่จะนํา ผลกําไร/ขาดทุนจากเงินบาทลอยตัว ที่เกิดขึ้น ณ วันสิ้นสุดรอบบัญชีใน หรือ หลัง 2 กรกฎาคม 2540 มาถือเป็นรายได้ รายจ่ายทั้งจํานวนในปี 2540 หรือจะเลือกเฉลี่ยวิธีใดวิธีหนึ่งใน 3 วิธีต่อไปนี้ก็ได้
(1) เฉลี่ยตามสัดส่วนของมูลหนี้ที่ถึงกําหนดชําระ
(2) เฉลี่ยแบบเส้นตรง ตามอายุ ของหนี้ที่คงค้างชําระ
(3) เลือกเฉลี่ยแบบเส้นตรง 2, 3, 4 หรือ 5 งวดก็ได้
หากท่านใดติดประเด็นเรื่องการลงบัญชีเงินตราต่างประเทศ หรือต้องการผู้ตรวจสอบบัญชี ที่มีความชำนาญในเรื่องการดูธุรกิจที่ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเงินต่างประเทศ ทางเรามี “บริการที่ปรึกษาบัญชี” “ผู้ตรวจสอบบัญชี” ที่สามารถให้คำปรึกษาและช่วยเหลือ หากสนใจสามารถติดต่อกับทางเราได้ทางช่องทางดังต่อไปนี้
Contact Us
Phone 02-114-7715
Web https://www.accconsultingservice.com
Inbox http://m.me/100581915340875
Line https://lin.ee/PhD3G7F
Mail [email protected]